วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

นาฏศิลป์


เมขลานั่งวิมาน


                      
                                เมขลานั่งวิมานปรากฏในบทละครของกรมศิลปากรได้นำเอาวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ที่เป็นพระราชนิพนธ์ต้นฉบับในสมัยรัชกาลต่างๆ ได้แก่ ในรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มาปรับปรุงแสดงให้เข้ากับสภาพการณ์ในปัจจุบัน การรำเชิดฉิ่งเมขลา มี 2 ช่วง คือ ช่วงแรกเป็นการบรรจุเพลงร้องในบทละคร มีการกล่าวบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ตัวละครกำลังจะกระทำก่อนถึงกระบวนท่ารำเชิดฉิ่งต่อไป ซึ่งเป็นบทที่ตัวนางเมขลารำบนวิมาน หรือเรียกว่านั่งวิมาน โดยการรำตีบทตามบทร้อง ต่อด้วยการบรรจุเพลงเชิดฉิ่งในลักษณะเพลงหน้าพาทย์ ซึ่งเป็นการบรรเลงประกอบกิริยาการเคลื่อนไหวของตัวละครโดยไม่มีการขับร้อง แสดงความงดงามของท่ารำก่อนเข้าสู่เหตุการณ์ตามท้องเรื่องในลำดับต่อไป
                             ดนตรีประกอบการแสดง ในการรำเชิดฉิ่งเมขลาใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็งบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ ซึ่งสามารถใช้วงขนาดเครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการจัดการแสดง ทั้งนี้ในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่งนั้น นอกจากต้องมีเครื่องดำเนินทำนองหลักแล้ว เครื่องกำกับจังหวะ คือ ฉิ่งมีความสำคัญเพราะในการแสดงผู้รำต้องรำตามเสียงของฉิ่ง ในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่งก็คือ การบรรเลงในทำนองเพลงเชิดโดยเริ่มบรรเลงตั้งแต่ตัวที่ 1-2-3 เรียงไปเรื่อยๆ จะบรรเลงถึงตัวใดก็ขึ้นอยู่กับกระบวนท่ารำเป็นหลัก ถ้ารำจบกระบวนดนตรีก็สามารถลงได้ทุกส่วนของเพลง วิธีการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง จะไม่ตีตะโพนและกลองทัด เมื่อใดที่เข้าเชิดกลองจึงตีเครื่องดนตรีสองชิ้นนี้เข้ามา หรือในเพลงเชิดฉิ่งเมื่อต้องการสร้างจุดสนใจในการแสดง สามารถเพิ่มเสียงกลอง ตะโพน ซึ่งเรียกว่า “ตื่นกลอง” เข้าไปได้ หรือการเพิ่มลดความหนัก-เบาของเสียงฉิ่ง เมื่อต้องการสร้างภาวะให้ตัวละครรู้สึกตื่นเต้นในการลักลอบทำการต่างๆ เป็นต้น

                          สิ่งสำคัญของการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง คือ จังหวะฉิ่ง โดยจังหวะฉิ่งดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอโดยจะเห็นได้จากที่ปรากฏซ้ำๆ โดยมีระยะห่างเท่ากันตลอด การตีฉิ่งจะตีในลักษณะพิเศษ คือ เฉพาะเสียงฉิ่ง ซึ่งในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง จะมีการตีฉิ่งในอัตราจังหวะเดียวกันกับจังหวะชั้นเดียว ให้เสียงของฉิ่ง มีความกังวาน เบา ล่องลอยสามารถกำหนดให้ความรู้สึกสุขุม สงบ เรียบร้อย ซึ่งทั้งนี้สิ่งผู้ตีฉิ่งจะต้องคำนึงถึงคือ ความสัมพันธ์กับผู้แสดง เพราะลักษณะการตีฉิ่งในลักษณะพิเศษที่เรียกว่าตีฉิ่งลอยนั้น จะต้องฉิ่งในจังหวะที่ผู้แสดงสามารถรำได้ กล่าวคือ ควรรู้ว่าผู้แสดงแต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตนอย่างไร กล่าวคือ ถ้าผู้แสดงมีความคล่องแคล่ว มีลีลาท่ารำที่กระชับ ก็สามารถตีฉิ่งให้จังหวะตามลักษณะของผู้แสดง ในทางกลับกันหากผู้แสดงท่านใดมีความสุขุมนุ่มนวล ก็อาจให้จังหวะฉิ่งที่ช้ากว่า เป็นต้นแต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการบรรเลงภายในวงและความเหมาะสมที่เกิดขึ้นระหว่างทำการแสดงที่ต้องมีความสัมพันธ์กัน
                                 กระบวนท่ารำเชิดฉิ่งเมขลา มี 3 ขั้นตอน คือ (1)กระบวนท่ารำบนวิมาน มีท่ารำหลักได้แก่ ท่าเทพนม ท่าบัวชูฝัก ท่าเท้าวิมาน ท่าปิดวิมาน ท่าเยื้องกรายเพื่อออกจากวิมาน (2)กระบวนท่าเชิดฉิ่งแสดงการล่องลอยไปในอากาศ เริ่มด้วยท่ารำร่าย ท่าป้องหน้า ท่ากินนรรำสลับท่าประไลยวาต ท่าโก่งศิลป์ ท่าฝ่ายฟ้อน ท่าเมขลา ท่าพิสมัยเรียงหมอน ท่ากังหันร่อน ท่ากินนรฟ้อนฝูง มีท่ารำเฉพาะตัวนางเมขลา คือ ท่าโยนแก้ว ท่าทิ้งแก้ว และ(3) กระบวนท่ารำในเพลงเชิดเพื่อแสดงการเดินทางระยะไกลอย่างเร่งรีบในท่าเหาะขึ้น ท่าโหนลง แสดงการถึงจุดหมายปลายทาง ในการปฏิบัติท่ารำมีการเคลื่อนไหวขาและเท้า 3 ลักษณะ คือ การย่ำเท้าหรือการซอยเท้า การขยั่นเท้า และการห่มเข่าที่จะต้องปฏิบัติให้ลงตรงตรมจังหวะฉิ่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการรำเชิดฉิ่ง
                              สุนทรียะของการรำเชิดฉิ่ง คือความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ของร่างกาย กล่าวคือ ในขณะที่ร่างกายส่วนบนมีการกล่อมหน้า ลักคอ กดเกลียวข้าง กดไหล่ในลักษณะการยักเยื้องนั้น ขณะเดียวกันร่างกายส่วนล่างที่ยืนด้วยขาเดียวและเท้าอีกข้างมีการยกหรือกระดกขึ้นที่ใช้การทรงตัวอย่างมั่นคงและสมดุลนั้น ก็มีการเข่าลงตามจังหวะฉิ่งไปพร้อมกันอย่างสอดคล้องและงดงาม
รำเชิดฉิ่งเมขลา ถือเป็นศิลปะการแสดงขั้นสูงที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการและลีลาการร่ายรำของตัวนางในการแสดงนาฏยศิลป์ไทย กระบวนท่ารำเชิดฉิ่งตามแบบครูโบราณมีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ สืบทอดและเผยแพร่ เพราะถือเป็นท่ารำต้นแบบในการสร้างสรรค์การแสดงเพื่อพัฒนาศาสตร์ด้านนาฏยศิลป์ไทยต่อไป




อ้างอิง

นาฏศิลป์

ฟ้อนม่านมงคล




                  พ.ศ. 2495 กรมศิลปากรได้ปรับปรุงละครพันทางเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา นำออกแสดงให้ประชาชนชม ตอนหนึ่งของเนื้อเรื่องกล่าวถึงพิธีอภิเษกสมิงพระรามกับพระราชธิดาพระเจ้าอังวะ จึงพิจารณาแทรกระบำขึ้นโดยมอบให้นายมนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งบทร้องและทำนองเพลงขึ้น และตั้งชื่อว่า “ม่านมงคล”

                  ฟ้อนม่านมงคล เป็นการฟ้อนที่มีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม ซึ่งสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา บางคนสงสัยว่าเป็นของพม่า เพราะเรียกว่า ฟ้อนม่าน แต่ฟ้อนม่านมงคลนี้น่าจะเป็นของไทย สังเกตได้จากท่ารำที่อ่อนช้อยงดงาม มีเพียงท่ารำในตอนต้นเท่านั้นที่ดัดแปลงมาจากของพม่า หากเป็นการฟ้อนรำของพม่า จะมีลีลาและจังหวะในการฟ้อนรำที่รวดเร็วและเร่งเร้ากว่าของไทย น่าจะเป็นไปได้ที่ไทยประดิษฐ์ท่ารำขึ้น โดยอาศัยท่ารำของภาคเหนือ และมีท่ารำของภาคกลางปนด้วย โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องราชาธิราช ซึ่งเป็นตำนานพงศาวดารที่มีมาดังนี้

                    เนื้อเรื่องกล่าวถึงพวกมอญ (พม่า) แบ่งเป็น 2 พวก คือ กรุงหงสาวดี กับกรุงรัตนบุระอังวะ ซึ่งทั้งสองเมืองจะรบกันอยู่เสมอ กรุงหงสาวดีมีทหารเอก คือ สมิงพระราม ซึ่งเก่งในทางรบ คราวหนึ่งทางฝ่ายกรุงหงสาวดีแพ้ สมิงพระรามถูกจับเป็นเชลยขังไว้ ณ กรุงอังวะ เมื่อพระเจ้ากรุงจีนยกทัพมาประชิดอังวะ ทำให้พระเจ้ากรุงอังวะต้องส่งทหารเอกมาต่อสู้กับกามนี ทหารเอกของพระเจ้ากรุงจีน โดยตกลงว่า หากอังวะแพ้จะเอาเป็นเมืองขึ้น ถ้าอังวะชนะจะยกทัพกลับไป พระเจ้ากรุงอังวะจึงได้ออกประกาศหาตัวผู้สมัครออกไปต่อสู้กับกามนีทหารเอกเมืองกรุงจีน ประกาศผ่านที่คุมขังของสมิงพระราม สมิงพระรามจึงคิดรับอาสาเพื่อต้องการให้ตนเองพ้นจากการคุมขังและเป็นการป้องกันกรุงหงสาวดี เพราะหงสาวดีอยู่ทางใต้ของกรุงอังวะ หากพระเจ้ากรุงจีนตีอังวะก็จะต้องยกทัพเลยไปถึงกรุงหงสาวดี ถึงอย่างไรอังวะก็เป็นเมืองมอญเหมือนกัน

                     สมิงพระรามจึงออกต่อสู้กับกามนี และได้ชัยชนะ ฆ่ากามนีตาย ตามสัญญาของพระเจ้ากรุงอังวะจะยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง และยกพระราชธิดาให้เป็นมเหสี สมิงพระรามขอสัญญาอีกข้อหนึ่งว่าห้ามไม่ให้เรียกตนว่าคนขี้คุกหรือเชลย พระเจ้ากรุงอังวะตกลง จึงจัดการอภิเษกขึ้น งานนี้จึงมีการฟ้อนม่านมลคลเป็นการสมโภช

เพลงฟ้อนม่านมงคลนี้ มีผู้นำทำนองเพลงฟ้อนม่านมงคลไปใส่เนื้อร้องเป็ฯแบบเพลงไทยสากล ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก จนครูมนตรี ตราโมท ได้รับรางวัลเสาอากาศทองคำในฐานะผู้แต่งทำนองเพลง



การแต่งกาย

เป็นแบบพม่า นุ่งผ้าซิ่นกรอมเท้า ใส่เสื้อเอวสั้น ริมเสื้อโครงในมีลวดอ่อนงอนขึ้นจากเอวเล็กน้อย เสื้อแขนยาวถึงข้อมือ มีแพรคล้องคอ ทิ้งชายลงมาถึงเข่า เกล้าผมทัดดอกไม้ มีอุบะห้อยมาทางด้านซ้าย



โอกาสที่แสดง

ใช้แสดงในงานสมโภช งานต้อนรับ และโอกาสเบ็ดเตล็ดต่างๆ


บทร้องเพลงม่านมงคล

                                 ปวงข้าเจ้าเหล่าราชนาฏกร                 ขอฝ่ายฟ้อนระบำบรรพ์ด้วยหรรษา

                                 สมโภชองค์อุปราชราชธิดา                ในมหาพิธีดิถีชัย 

                               ด้วยเดชะบารมีบดีศูรย์                          อันไพบูลย์พูนพิพัฒน์นิรัติศัย

                               จึงอุบัติอุปราชชาติชาญชัย                   อรไทพระธิดาศรีธานี 

                               ขอคุณพระพุทธเจ้า                              จุ่งมาปกเกล้าเกศี

                               พระธรรมเลิศล้ำธาตรี                            พระสงฆ์ทรงศรีวิสุทธิญาณ 

                               ขอโปรดประสาท                                  อุปราชธิบดี

                               พระราชบุตรี                                         วรนาฏนงคราญ 
                               ทรงสบสุขศรี                                       ฤดีสำราญ

                               ระรื่นชื่นบาน                                       วรกายสกนธ์

                               พวกเหล่าพาลา                                  ไม่กล้าผจญ

                               ต่างหวั่นพรั่นตน                                  เกรงพระบารมี

                               ประสงค์สิ่งใด                                      เสร็จได้ดังฤดี
  
                               สถิตเด่นเป็นศรี                                    อังวะนครา





อ้างอิง

ประวัติศาสตร์


ป้อมพระจุลจอมเกล้า



               ป้อมพระจุลจอมเกล้า หรือเรียกสั้นๆว่า "ป้อมพระจุล" เป็นป้อมปราการทางน้ำ ตั้งอยู่ที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ สร้างขึ้นเมื่อใด ไม่พบหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าสร้างขึ้นในราวเดือน มีนาคม พ.ศ. 2427 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อป้องกันการรุกรานจากอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นชัยภูมิเหมาะสม หากมีเรือรบของข้าศึกบุกเข้ามาทางปากน้ำ ป้อมแห่งนี้สร้างเป็นป้อมปืนใหญ่แบบตะวันตก และได้ติดตั้งปืนใหญ่อาร์มสตรอง 155 มม. จำนวน 7 กระบอกเป็นอาวุธหลักของป้อม ทำให้ป้อมนี้เป็นป้อมปราการของสยามที่ทันสมัยมากที่สุดในเวลานั้น

             ป้อมพระจุลจอมเกล้า นอกจากจะเป็นป้อมที่พระองค์ทรงดำริให้สร้างขึ้นแล้ว พระองค์ยังได้ทรงมาทดลองยิงปืนเสือหมอบด้วยพระองค์เอง ในเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 ป้อมพระจุลยังได้ใช้เป็นที่ยิงต่อสู้กับเรือรบฝรั่งเศสในวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 โดยมีพลเรือตรี พระยาชลยุทธโยธินทร์ เป็นผู้อำนวยการป้องกันปากแม่น้ำเจ้าพระยา

             ปัจจุบัน ป้อมพระจุลจอมเกล้าขึ้นตรงกับฐานทัพเรือกรุงเทพ และได้ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2536 เพื่อเป็นราชานุสรณ์และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และกองทัพเรือได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้ประชาชนเข้าชมด้วย ป้อมพระจุลจอมเกล้าจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ

             สืบเนื่องจากการเข้ามาของอิทธิพลชาติตะวันตกที่มาล่าอาณานิคมแถบเอเซีย อินโดจีน และการเปิดประเทศญี่ปุ่น ในสมัยรัชกาลที่ 4 นำโดยสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า "คนเอเซีย สู้ฝรั่งไม่ได้" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า สยามจะไม่มีการป้องกันเกิดขึ้น แม้ว่าป้อมบนสองฟากแม่น้ำเจ้าพระยาเดิม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 - รัชกาลที่ 4 จะรวมกันแล้วกว่า 20 ป้อม แต่ก็ยังเป็นป้อมโบราณที่ติดตั้งปืนใหญ่แบบเก่า รวมถึงยุทธวิธีที่แต่เดิมใช้รบทางน้ำมาเป็นระยะเวลายาวนานของสยาม นั่นคือการใช้โซ่ขึงปิดทางน้ำทำให้เรือไม่สามารถเคลื่อนไปได้ แต่กลวิธีไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป เมื่อ เรือกำปั่นของฝรั่ง หรือ เรือกลไฟ ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยถ่านหิน ที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานลมเหมือนแต่ก่อน นอกจากนี้กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้กล่าวไว้ว่า "ทางเรือ ไทยยังจะสู้รบฝรั่งเศสไม่ได้" จึงเป็นเหตุผลโดยรวมที่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความสำคัญ รับสั่งให้เตรียมการป้องกันกำลังทางเรือให้ดียิ่งขึ้น โดยพระองค์พระทานเงินส่วนพระองค์เป็นจำนวน 10,000 ชั่ง (800,000 บาท) เพื่อให้เร่งการสร้างป้อม และซื้ออาวุธเพื่อป้องกันพระนคร ด้วยความมุ่งมั่นของพระองค์ที่จะดำรงไว้ซึ่งเอกราชของชาติ ให้หลุดพ้นจากการเข้าแทรกแทรงของชาติตะวันตก ตามที่ทรงพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดีสภาในวันที่ 10 เมษายน ร.ศ.112 (พ.ศ. 2436) ใจความตอนหนึ่งว่า

"ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สุดสิ้นไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสุดสิ้นไปเมื่อนั้น"



อ้างอิง
https://www.lovethailand.org/data/lovethailand_content-1402199974.jpg
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2

เทคโนโลยี VR แว่น VR



                            หลายคนได้ยินคำว่า VR กันมาเยอะมาก ในช่วงระยะหลังมานี้ และก็สร้างคำถามให้ ว่ามันคือเทคโนโลยีอะไรกัน ใช้งานยังไง มีประโยชน์ยังไงบ้าง วันนี้มาไขความกระจ่างเรื่องนี้กันหน่อยดีกว่า


                              VR ย่อมาจาก Virtual Reality แปลแบบตรงๆก็คือ ‘ความจริงเสมือน’ เทคโนโลยีนี้จะต้องใช้ควบคู่กับอุปกรณ์สำคัญชิ้นนึง นั่นก็คือแว่นตา VR ถ้าหากขาดอุปกรณ์ชิ้นนี้ไป เราก็จะเข้าสู่โลกของ VR ไม่ได้เลย

แว่นตัวนี้จะทำหน้าทีแสดงภาพแทนหน้าจอปกติ จะหลอกตาเราให้มองเห็นเฉพาะแต่ภาพจากในแว่นตาเท่านั้น ทำให้เราเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนนี้อย่างเต็มตัว


                              ที่เราได้เห็นได้ยินคำนี้เยอะขึ้น ก็เพราะว่ามันเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลายๆเจ้า กำลังผลักดันออกมา สำหรับยุคต่อไปของเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง


                             เนื้อหาที่จะเอามาใช้งานกับเทคโนโลยีตัวนี้นั่นกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเกม ที่จริงๆต้องบอกว่าเป็นเนื้อหาหลัก ที่เทคโนโลยีถูกคิดค้นขึ้นมาใช้งานร่วมด้วย แต่หลังจากนากนั้นก็มีการประยุกต์ ให้สามารถใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ และการนำเอาไปใช้งานทางด้านการศึกษาต่างๆ


                             ในตอนนี้อาจจะยังไม่ได้แพร่หลายทั่วไปในบ้านเราสักเท่าไหร่นัก แต่ก็เริ่มได้เห็นกันมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว โดยเฉพาะในโลกอินเตอร์ต่างๆ เหล่า Net Idol บ้านเราก็หยิบเอามาเล่น เอามาทำคลิปให้ดูกันเยอะแยะแล้ว เป็นอะไรที่กำลังจะมาในไม่ช้าแน่นอน




อ้างอิง
http://www.joypadboy.com/image/data/vrbox/vr-box-vr-shinecon.png
http://www.acerspace.com/whats-vr/