เมขลานั่งวิมาน
เมขลานั่งวิมานปรากฏในบทละครของกรมศิลปากรได้นำเอาวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ที่เป็นพระราชนิพนธ์ต้นฉบับในสมัยรัชกาลต่างๆ ได้แก่ ในรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มาปรับปรุงแสดงให้เข้ากับสภาพการณ์ในปัจจุบัน การรำเชิดฉิ่งเมขลา มี 2 ช่วง คือ ช่วงแรกเป็นการบรรจุเพลงร้องในบทละคร มีการกล่าวบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ตัวละครกำลังจะกระทำก่อนถึงกระบวนท่ารำเชิดฉิ่งต่อไป ซึ่งเป็นบทที่ตัวนางเมขลารำบนวิมาน หรือเรียกว่านั่งวิมาน โดยการรำตีบทตามบทร้อง ต่อด้วยการบรรจุเพลงเชิดฉิ่งในลักษณะเพลงหน้าพาทย์ ซึ่งเป็นการบรรเลงประกอบกิริยาการเคลื่อนไหวของตัวละครโดยไม่มีการขับร้อง แสดงความงดงามของท่ารำก่อนเข้าสู่เหตุการณ์ตามท้องเรื่องในลำดับต่อไป
ดนตรีประกอบการแสดง ในการรำเชิดฉิ่งเมขลาใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็งบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ ซึ่งสามารถใช้วงขนาดเครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการจัดการแสดง ทั้งนี้ในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่งนั้น นอกจากต้องมีเครื่องดำเนินทำนองหลักแล้ว เครื่องกำกับจังหวะ คือ ฉิ่งมีความสำคัญเพราะในการแสดงผู้รำต้องรำตามเสียงของฉิ่ง ในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่งก็คือ การบรรเลงในทำนองเพลงเชิดโดยเริ่มบรรเลงตั้งแต่ตัวที่ 1-2-3 เรียงไปเรื่อยๆ จะบรรเลงถึงตัวใดก็ขึ้นอยู่กับกระบวนท่ารำเป็นหลัก ถ้ารำจบกระบวนดนตรีก็สามารถลงได้ทุกส่วนของเพลง วิธีการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง จะไม่ตีตะโพนและกลองทัด เมื่อใดที่เข้าเชิดกลองจึงตีเครื่องดนตรีสองชิ้นนี้เข้ามา หรือในเพลงเชิดฉิ่งเมื่อต้องการสร้างจุดสนใจในการแสดง สามารถเพิ่มเสียงกลอง ตะโพน ซึ่งเรียกว่า “ตื่นกลอง” เข้าไปได้ หรือการเพิ่มลดความหนัก-เบาของเสียงฉิ่ง เมื่อต้องการสร้างภาวะให้ตัวละครรู้สึกตื่นเต้นในการลักลอบทำการต่างๆ เป็นต้น
สิ่งสำคัญของการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง คือ จังหวะฉิ่ง โดยจังหวะฉิ่งดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอโดยจะเห็นได้จากที่ปรากฏซ้ำๆ โดยมีระยะห่างเท่ากันตลอด การตีฉิ่งจะตีในลักษณะพิเศษ คือ เฉพาะเสียงฉิ่ง ซึ่งในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง จะมีการตีฉิ่งในอัตราจังหวะเดียวกันกับจังหวะชั้นเดียว ให้เสียงของฉิ่ง มีความกังวาน เบา ล่องลอยสามารถกำหนดให้ความรู้สึกสุขุม สงบ เรียบร้อย ซึ่งทั้งนี้สิ่งผู้ตีฉิ่งจะต้องคำนึงถึงคือ ความสัมพันธ์กับผู้แสดง เพราะลักษณะการตีฉิ่งในลักษณะพิเศษที่เรียกว่าตีฉิ่งลอยนั้น จะต้องฉิ่งในจังหวะที่ผู้แสดงสามารถรำได้ กล่าวคือ ควรรู้ว่าผู้แสดงแต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตนอย่างไร กล่าวคือ ถ้าผู้แสดงมีความคล่องแคล่ว มีลีลาท่ารำที่กระชับ ก็สามารถตีฉิ่งให้จังหวะตามลักษณะของผู้แสดง ในทางกลับกันหากผู้แสดงท่านใดมีความสุขุมนุ่มนวล ก็อาจให้จังหวะฉิ่งที่ช้ากว่า เป็นต้นแต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการบรรเลงภายในวงและความเหมาะสมที่เกิดขึ้นระหว่างทำการแสดงที่ต้องมีความสัมพันธ์กัน
กระบวนท่ารำเชิดฉิ่งเมขลา มี 3 ขั้นตอน คือ (1)กระบวนท่ารำบนวิมาน มีท่ารำหลักได้แก่ ท่าเทพนม ท่าบัวชูฝัก ท่าเท้าวิมาน ท่าปิดวิมาน ท่าเยื้องกรายเพื่อออกจากวิมาน (2)กระบวนท่าเชิดฉิ่งแสดงการล่องลอยไปในอากาศ เริ่มด้วยท่ารำร่าย ท่าป้องหน้า ท่ากินนรรำสลับท่าประไลยวาต ท่าโก่งศิลป์ ท่าฝ่ายฟ้อน ท่าเมขลา ท่าพิสมัยเรียงหมอน ท่ากังหันร่อน ท่ากินนรฟ้อนฝูง มีท่ารำเฉพาะตัวนางเมขลา คือ ท่าโยนแก้ว ท่าทิ้งแก้ว และ(3) กระบวนท่ารำในเพลงเชิดเพื่อแสดงการเดินทางระยะไกลอย่างเร่งรีบในท่าเหาะขึ้น ท่าโหนลง แสดงการถึงจุดหมายปลายทาง ในการปฏิบัติท่ารำมีการเคลื่อนไหวขาและเท้า 3 ลักษณะ คือ การย่ำเท้าหรือการซอยเท้า การขยั่นเท้า และการห่มเข่าที่จะต้องปฏิบัติให้ลงตรงตรมจังหวะฉิ่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการรำเชิดฉิ่ง
สุนทรียะของการรำเชิดฉิ่ง คือความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ของร่างกาย กล่าวคือ ในขณะที่ร่างกายส่วนบนมีการกล่อมหน้า ลักคอ กดเกลียวข้าง กดไหล่ในลักษณะการยักเยื้องนั้น ขณะเดียวกันร่างกายส่วนล่างที่ยืนด้วยขาเดียวและเท้าอีกข้างมีการยกหรือกระดกขึ้นที่ใช้การทรงตัวอย่างมั่นคงและสมดุลนั้น ก็มีการเข่าลงตามจังหวะฉิ่งไปพร้อมกันอย่างสอดคล้องและงดงาม
รำเชิดฉิ่งเมขลา ถือเป็นศิลปะการแสดงขั้นสูงที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการและลีลาการร่ายรำของตัวนางในการแสดงนาฏยศิลป์ไทย กระบวนท่ารำเชิดฉิ่งตามแบบครูโบราณมีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ สืบทอดและเผยแพร่ เพราะถือเป็นท่ารำต้นแบบในการสร้างสรรค์การแสดงเพื่อพัฒนาศาสตร์ด้านนาฏยศิลป์ไทยต่อไป
ดนตรีประกอบการแสดง ในการรำเชิดฉิ่งเมขลาใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็งบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ ซึ่งสามารถใช้วงขนาดเครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการจัดการแสดง ทั้งนี้ในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่งนั้น นอกจากต้องมีเครื่องดำเนินทำนองหลักแล้ว เครื่องกำกับจังหวะ คือ ฉิ่งมีความสำคัญเพราะในการแสดงผู้รำต้องรำตามเสียงของฉิ่ง ในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่งก็คือ การบรรเลงในทำนองเพลงเชิดโดยเริ่มบรรเลงตั้งแต่ตัวที่ 1-2-3 เรียงไปเรื่อยๆ จะบรรเลงถึงตัวใดก็ขึ้นอยู่กับกระบวนท่ารำเป็นหลัก ถ้ารำจบกระบวนดนตรีก็สามารถลงได้ทุกส่วนของเพลง วิธีการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง จะไม่ตีตะโพนและกลองทัด เมื่อใดที่เข้าเชิดกลองจึงตีเครื่องดนตรีสองชิ้นนี้เข้ามา หรือในเพลงเชิดฉิ่งเมื่อต้องการสร้างจุดสนใจในการแสดง สามารถเพิ่มเสียงกลอง ตะโพน ซึ่งเรียกว่า “ตื่นกลอง” เข้าไปได้ หรือการเพิ่มลดความหนัก-เบาของเสียงฉิ่ง เมื่อต้องการสร้างภาวะให้ตัวละครรู้สึกตื่นเต้นในการลักลอบทำการต่างๆ เป็นต้น
สิ่งสำคัญของการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง คือ จังหวะฉิ่ง โดยจังหวะฉิ่งดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอโดยจะเห็นได้จากที่ปรากฏซ้ำๆ โดยมีระยะห่างเท่ากันตลอด การตีฉิ่งจะตีในลักษณะพิเศษ คือ เฉพาะเสียงฉิ่ง ซึ่งในการบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง จะมีการตีฉิ่งในอัตราจังหวะเดียวกันกับจังหวะชั้นเดียว ให้เสียงของฉิ่ง มีความกังวาน เบา ล่องลอยสามารถกำหนดให้ความรู้สึกสุขุม สงบ เรียบร้อย ซึ่งทั้งนี้สิ่งผู้ตีฉิ่งจะต้องคำนึงถึงคือ ความสัมพันธ์กับผู้แสดง เพราะลักษณะการตีฉิ่งในลักษณะพิเศษที่เรียกว่าตีฉิ่งลอยนั้น จะต้องฉิ่งในจังหวะที่ผู้แสดงสามารถรำได้ กล่าวคือ ควรรู้ว่าผู้แสดงแต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตนอย่างไร กล่าวคือ ถ้าผู้แสดงมีความคล่องแคล่ว มีลีลาท่ารำที่กระชับ ก็สามารถตีฉิ่งให้จังหวะตามลักษณะของผู้แสดง ในทางกลับกันหากผู้แสดงท่านใดมีความสุขุมนุ่มนวล ก็อาจให้จังหวะฉิ่งที่ช้ากว่า เป็นต้นแต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการบรรเลงภายในวงและความเหมาะสมที่เกิดขึ้นระหว่างทำการแสดงที่ต้องมีความสัมพันธ์กัน
กระบวนท่ารำเชิดฉิ่งเมขลา มี 3 ขั้นตอน คือ (1)กระบวนท่ารำบนวิมาน มีท่ารำหลักได้แก่ ท่าเทพนม ท่าบัวชูฝัก ท่าเท้าวิมาน ท่าปิดวิมาน ท่าเยื้องกรายเพื่อออกจากวิมาน (2)กระบวนท่าเชิดฉิ่งแสดงการล่องลอยไปในอากาศ เริ่มด้วยท่ารำร่าย ท่าป้องหน้า ท่ากินนรรำสลับท่าประไลยวาต ท่าโก่งศิลป์ ท่าฝ่ายฟ้อน ท่าเมขลา ท่าพิสมัยเรียงหมอน ท่ากังหันร่อน ท่ากินนรฟ้อนฝูง มีท่ารำเฉพาะตัวนางเมขลา คือ ท่าโยนแก้ว ท่าทิ้งแก้ว และ(3) กระบวนท่ารำในเพลงเชิดเพื่อแสดงการเดินทางระยะไกลอย่างเร่งรีบในท่าเหาะขึ้น ท่าโหนลง แสดงการถึงจุดหมายปลายทาง ในการปฏิบัติท่ารำมีการเคลื่อนไหวขาและเท้า 3 ลักษณะ คือ การย่ำเท้าหรือการซอยเท้า การขยั่นเท้า และการห่มเข่าที่จะต้องปฏิบัติให้ลงตรงตรมจังหวะฉิ่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการรำเชิดฉิ่ง
สุนทรียะของการรำเชิดฉิ่ง คือความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ของร่างกาย กล่าวคือ ในขณะที่ร่างกายส่วนบนมีการกล่อมหน้า ลักคอ กดเกลียวข้าง กดไหล่ในลักษณะการยักเยื้องนั้น ขณะเดียวกันร่างกายส่วนล่างที่ยืนด้วยขาเดียวและเท้าอีกข้างมีการยกหรือกระดกขึ้นที่ใช้การทรงตัวอย่างมั่นคงและสมดุลนั้น ก็มีการเข่าลงตามจังหวะฉิ่งไปพร้อมกันอย่างสอดคล้องและงดงาม
รำเชิดฉิ่งเมขลา ถือเป็นศิลปะการแสดงขั้นสูงที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการและลีลาการร่ายรำของตัวนางในการแสดงนาฏยศิลป์ไทย กระบวนท่ารำเชิดฉิ่งตามแบบครูโบราณมีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ สืบทอดและเผยแพร่ เพราะถือเป็นท่ารำต้นแบบในการสร้างสรรค์การแสดงเพื่อพัฒนาศาสตร์ด้านนาฏยศิลป์ไทยต่อไป
อ้างอิง

